ความรู้เรื่อง SEO นั้นมีอยู่มากมาย เรียนรู้เท่าไหร่ ก็ไม่มีวันจบสิ้น เพราะการทำ SEO ไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่ละธุรกิจใช้กลยุทธ์ทำ SEO ที่ไม่เหมือนกัน สำหรับบทความชุดนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้แสวงหาแนวทางทำ SEO ที่ถูกต้อง
สารบัญเนื้อหา
- SEO คือ อะไร?
- แก่นของ Google SEO คืออะไร
- ทำไมต้องทำ SEO?
- การทำ SEO ยากหรือง่าย?
- SEO จ้างทำได้หรือไม่?
- ถ้าอยากจ้างทำ SEO ต้องจ้างอย่างไร?
- ขั้นตอนการทำ SEO [Roadmap]
• On site optimization
• Mobile friendly
• User experience
• Keyword research
• Useful Content
• Social Media
• Backlink - สรุป SEO 2020 แนวโน้มจะเป็นอย่างไร
เรียน SEO ออนไลน์ฟรี 4 บทเรียน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการทำ SEO คลิกเข้าเรียนที่นี่
1. SEO คือ อะไร?
การทำ seo คือ การผลักดันเว็บไซต์ตัวเองให้ติดหน้าแรกเวลาค้นหาบน google ด้วยคีย์เวิร์ดที่ต้องการ โดยไม่ใช้การลงโฆษณา และต้องทำด้วยกระบวนการต่างๆ ในรูปแบบที่ Google ต้องการด้วย ซึ่งคำนี้ย่อมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Search engine optimization
อ่านเพิ่มเติม: สอน SEO ตั้งแต่เริ่มต้น ถึงระดับ Advance
2. แก่นของ Google SEO คืออะไร
เราใช้งาน google เพื่อหาคำตอบ แต่เราเล่น facebook เพื่อความสนุก และเพื่ออวดบางสิ่งบางอย่างให้คนอื่นๆ รับรู้จริงมั้ยครับ ?
Google คือ Search engine แก่นของเขาคือการแสดงข้อมูล (information) ให้ตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา นั่นหมายความว่า หากเราต้องการให้เว็บของเราติดอันดับหน้าแรก เราก็ต้องสร้างเนื้อหาแบบที่ google ชอบ คือ เป็นข้อมูล (information) ที่เป็นคำตอบต่อคนที่กำลังอยากรู้ และข้อมูลเหล่านั้น ต้องเป็นข้อมูลที่เรียบเรียงมาอย่างดี อ่านแล้วต้องเข้าใจง่ายๆ (accessible) และสุดท้ายข้อมูลของเราต้องเป็นประโยชน์ (useful) คือ ช่วยแก้ปัญหาหรือให้คำตอบกับคนที่กำลังต้องการมันได้
การเขียนบทความตามใจ โดยไม่สนว่าจะมีคนอยากรู้หรือไม่ เราจะเสียเวลาไปเปล่าๆ และไม่มีผลต่อการติดอันดับใดๆ เลย
3. ทำไมต้องทำ SEO?
- เว็บที่ติดอันดับ 1 บน Google จะมี Traffic คนเข้าเว็บ มากกว่าเว็บที่อยู่อันดับ 10 มากถึง 10 เท่าเลยนะ
- จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำ SEO ให้เว็บเราติดอันดับต้นๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะหากเว็บของคุณ ไม่ติดอันดับหน้าแรก จำนวนคนเข้าเว็บของคุณ แทบจะเป็น 0 เลยกว่าได้
- ผมขอบรวบรวมตัวอย่าง volume การค้นหาของ Keyword ต่างๆ มาเปรียบเทียบให้พวกเราเห็นระหว่างเว็บอันดับ 1 กับอันดับ 10 ว่ามันจะแตกต่างกันขนาดไหน
- โปรแกรมที่ใช้ดูสถิติพวกนี้คือ kwfinder ครับผม (สำหรับเนื้อหาการใช้เครื่องมือตัวนี้ จะมีพูดถึงในหัวข้อถัดไปครับ
CUSTOMER JOURNEY
Aware > รู้จัก (seo ช่วยได้มากที่ด่านแรก)
Appeal > ชอบ
Ask > หาข้อมูล เปรียบเทียบ
Act > inbox ซื้อสินค้า
Advocate > สนับสนุน บอกต่อ ซื้อซ้ำ
เพิ่ม Traffic = เพิ่มยอดขาย
- ทำให้เว็บเราติดอันดับหน้าแรก หลายๆ keyword
- กับทำ Keyword ที่ติดอยู่แล้ว มีอันดับสูงขึ้น
“สินค้าดีที่สุด ราคาดีที่สุด บริการดีที่สุด
แทบจะไร้ความหมาย
หากลูกค้า ค้นหาคุณไม่เจอการทำ SEO คือ เครื่องมือทรงพลัง
ที่จะช่วยให้ลูกค้าเจอคุณ
และช่วยเพิ่มยอดขาย บนโลกออนไลน์”
อยากทำเว็บขายของออนไลน์ด้วยตนเอง
เราต้องรู้อะไรบ้าง? คลิกอ่าน 👇การสร้างเว็บไซต์ อัพเดท 2020
4. การทำ SEO ยากหรือง่าย?
- จะทำ SEO ได้ผลดี ต้องมาจากเว็บที่ดีก่อนนะ
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือสอน WordPress สำหรับผู้เริ่มต้น - สมมุติถ้าคู่แข่งคุณคือ Lazada เขาทำเว็บไว้ดีแค่ไหน หากคุณอยากจะชนะเขา การทำ SEO คือ การทำเว็บให้ดีกว่า Lazada แค่นั้น จึงไม่ต้องถามว่าการทำเว็บให้ดีกว่าคู่แข่งมันยากแค่ไหน
- ถ้าคู่แข่งเว็บเขาสวยอยู่แล้ว เว็บของคุณต้องสวยกว่า ถ้าเขาเขียนบทความดีอยู่แล้วคุณต้องเขียนให้ดีกว่าเขา ถ้าเว็บเขามี 100 บทความ คุณก็ต้องมี 200 บทความ ถ้าคู่แข่งเว็บเปิดเร็วแค่ไหน เว็บคุณก็ต้องเปิดเร็วกว่า
- ดังนั้นความยากหรือง่าย แต่ละธุรกิจจึงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเว็บที่ติดอันดับคือใคร และเขาทำไว้ดีแค่ไหน หน้าที่คุณคือต้องทำให้เว็บของตัวคุณเองให้ดีกว่าเขา แค่นั้น
สิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่าเว็บไหนจะทำอันดับได้ดีกว่า
- หากคุณเคยดูรายการประกวดร้องเพลง เมื่อถึงรอบชิงชนะเลิศ ผู้แข่งขันทุกคนต่างร้องเพลงเพราะทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่าใครจะเป็นแชมป์ คือ คะแนนโหวตจากทางบ้านนั้นเอง
- คนที่จะได้คะแนนโหวตเยอะๆ อาจไม่ใช่คนที่ร้องเพลงเพราะที่สุด แต่เป็นคนที่ร้องเพลง แล้วทำให้คนฟัง มีอารมณ์ร่วมไปกับเพลง ไม่ว่าจะเป็น ความสนุก ความเศร้า ความสงสาร หรือความสะเทือนใจ นักร้องคนนั้นจึงได้คะแนนโหวตมากไปด้วย
- การทำ SEO ก็เช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนรู้หลักการทำ SEO ซึ่งไม่ได้ต่างกัน เพราะการทำ SEO มันเป็นหลักการสากล
- แต่สิ่งที่ทำให้บางเว็บแพ้หรือชนะ คือ การทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเรามีส่วนร่วม เช่น ใช้เวลาอ่านนานกี่นาที อ่านจนจบบทความมั้ย? อ่านจบแล้ว มีการคลิกต่อไปยังหน้าอื่น ๆ อีกกี่หน้า
- ซึ่งจุดนี้แหละคือสิ่งที่ยากที่สุดของการทำ SEO เพราะการจะทำให้คนมีส่วนร่วมบนเว็บของเรามันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ และยังต้องสร้างคุณค่าให้กับผู้เข้าชมเว็บของเราด้วย
Bounce Rate คือ อัตราส่วนของคนเข้ามาเว็ปเรา
แล้วอยู่แค่หน้าเดียว แล้วปิดไป ตรงจุดนี้ยิ่งน้อย ยิ่งดี
อ่านเพิ่มเติม: เทคนิคลด Bounce Rate
Daily Pageviews per Visitor คือ จำนวนหน้าที่คนเข้าเว็บ
เปิดดูต่อไปเรื่อยๆ จุดนี้ยิ่งเยอะยิ่งดี
แสดงว่าเว็บไซต์เรามี Content น่าสนใจ
Daily Time on site คือ ค่าเฉลี่ยของเวลาที่คนอยู่บนเว็บไซต์
ของเรา ยิ่งเขาอยู่บนเว็บเรานานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ด้วยเช่นกัน
*User behavior factor
ยังมีอีกหลายปัจจัย ด้านบนเป็นแค่ตัวอย่างเบื้องต้นเท่านั้น
“การทำ SEO ก็เปรียบเหมือนการแต่งเพลง
ยังไม่มีเพลงไหนเพราะที่สุด
มีแค่เพลงที่เพราะกว่า
อันดับบน google serp มีขึ้นมีลง
หน้าที่ของเราคือแต่งเพลง หรือเขียนบทความให้ดี
หรือทำเว็บให้ดีกว่าคู่แข่งแค่นั้น”
5. SEO จ้างทำได้หรือไม่?
แชร์ทวีตส่งไลน์แชร์ทวีตส่งไลน์
จ้างทำ SEO แบบตรง ๆ ไม่ได้ หมายความว่า หากคุณมีเงินแล้วเอาเงินมาให้ผม แต่ผมไม่ได้เข้าไปปรับแต่ง หรือออกแบบอะไรใหม่ที่เว็บคุณเลย เช่น ผมอาจจะเพิ่มปริมาณ Backlink หรือใช้โปรแกรมสร้างเป็น Bot เข้ามาเปิดปิดเว็บของคุณ
ถ้าคุณไปจ้างใครทำ SEO แล้วเขาทำอยู่แค่นี้ แสดงว่าคุณกำลังถูกหลอก สิ่งที่เขากำลังทำให้คุณมันไม่ได้ช่วยให้เว็บคุณดูดีขึ้นเลยในสายตาของ Google
คุณต้องเข้าใจ Model ทำเงินของ Google และ Facebook ก่อน พวกเขามีรายได้จากค่าโฆษณา ดังนั้น หน้าที่ของ Google และ Facebook เขาต้องบีบให้ให้พวกเราซื้อโฆษณา โดยการปรับอัลกอลิทึม ของเว็บที่จะติดหน้าแรกได้ ต้องยากที่สุด คือจะมีแค่เว็บที่มีคุณภาพดีเท่านั้นที่ติดหน้าแรกได้
เพราะหากการทำ SEO มันจ้างกันแบบง่ายๆ ได้ คนก็จะไม่ไปซื้อโฆษณากับ Google เขาก็ต้องเสียรายได้ ดังนั้น Google จึงไม่มีทางยอมแน่ๆ
In 2018, stuffing your website
with backlinks may hurt
more than help.
คำว่า “more backlinks,
higher ranking”
จึงเป็นแนวคิวที่ใช้การไม่ได้แล้วในยุคนี้
Google’s ad revenue from 2001 to 2017 (in billion U.S. dollars)
6. ถ้าอยากจ้างทำ SEO ต้องจ้างอย่างไร?
เพราะการทำ SEO เราไม่สามารถจ้างใครทำตรงๆ ได้ ถึงจ้างได้ ก็การันตีให้ติดหน้าแรกไม่ได้อยู่ดี คำแนะนำหากคุณต้องการใช้เงินสำหรับการจ้างทำ SEO การจะจ้างทำ SEO ให้ได้ผลเราต้องจ้างเป็นองค์รวม โดยมี 3 ส่วนหลักๆ
- จ้างคนทำเว็บ
- จ้างคนทำกราฟฟิค
- จ้างคนทำคอนเทนต์ (เขียนบทความให้น่าอ่าน)
คุณต้องไปสร้างทีมงานเก่งๆ มา 3 ส่วนหลักๆ ด้านบน จากนั้นค่อยนัดผมไป training ทีมงานของคุณ หรือจะให้พวกเขาเรียนรู้เรื่อง SEO ด้วยตนเองก็ได้ เพื่อให้การทำงานแต่ละส่วนถูกหลัก SEO
คนทำกราฟฟิคต้องรู้หลักการ SEO จะได้ออกแบบและวางตำแหน่งของรูปภาพถูกต้อง เราจะทำเว็บให้สวยอย่างเดียวยังไม่พอ
คนทำเว็บต้องรู้หลักการออกแบบโครงสร้างเว็บ อะไรที่จำเป็น อะไรที่ไม่จำเป็น อะไรควรทำและไม่ควรทำ เพื่อให้เว็บเป็นมิตรกับ Google Search Engine มากที่สุด
คนเขียนบทความ ต้องรู้ก่อนว่า Google ชอบบทความประเภทไหน โครงสร้างของบทความต้องจัดเรียงเนื้อหาอย่างไรบ้าง เขียนบทความดี น่าอ่าน อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องเขียนให้ดีในสายตาของ Google ด้วยนั้นเอง
ทำเว็บก็เหมือนเราสร้างบ้าน ต้องออกแบบก่อน แต่ไม่ใช้การออกแบบให้สวยตามใจ ต้องสวยในมิติที่ google ชอบด้วย
“แต่โดยมากส่วนใหญ่
จะทำเว็บกลับด้าน
คือออกแบบเว็บตามใจ ไม่มีหลักการ
พอถึงเวลาต้องทำ SEO จริงจัง
ได้เสียเวลาทำเว็บใหม่กันทุกคน”
7. ขั้นตอนการทำ SEO
องค์ประกอบเริ่มต้นสำหรับการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพครับ
7.1 On site optimization
- On page Structure (ปรับแต่งโครงสร้างเนื้อหาบนเว็บ)
อ่านเพิ่มเติม: เทคนิคปรับ SEO On page แบบ Full option - Page loads FAST (ความเร็วในการเปิดเว็บ)
อ่านเพิ่มเติม ทำเว็บ WordPress ให้โหลดเร็ว 100/100 speed - Use SEO-Friendly URLs (การเขียน URL ให้ Google เข้าใจง่ายๆ)
- Use Responsive Design (ออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถแสดงได้บนทุกอุปกรณ์)
- Internal Links & Outbound Links (การวางลิงค์ให้เนื้อหาแต่ละหน้ามีความเชื่อมโยงหากัน)
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือสร้าง Link building - Image Optimization (การปรับแต่งรูปภาพให้เป็นมิตรกับการค้นห้าบน Google)
อ่านเพิ่มเติม: ทำ SEO รูปภาพ 2020 - Social media signals (ทำให้ง่ายต่อการแชร์ไปยัง Social media ต่างๆ)
อ่านเพิ่มเติม: แชร์เว็บไป Facebook อย่างไรให้ได้ผล - Long-form content (สร้างเนื้อหาเจาะลึก ลงรายละเอียด)
อ่านเพิ่มเติม: เทคนิคทำ Long-form content
On page Structure
ดูเนื้อหาฉบับเต็ม: The Most Massive SEO Copywriting Guide That Will Make Your Traffic Soar
7.2 Mobile friendly
คำว่า Mobile Friendly ไม่ได้หมายถึงเว็บไซต์ที่ดูได้บนมือถือ แต่หมายถึงเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและสะดวกสบายบนมือถือ การที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์ยังต้องคอยซูมเข้า ซูมออก เลื่อนซ้าย เลื่อนขวา เพื่ออ่านข้อมูลต่าง ๆ บนหน้าเว็บเหล่านี้ไม่ได้ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีต่อผู้ชมเว็บไซต์ เพราะไม่เป็น Mobile Friendly
ที่มา: What is mobile friendlyกลับสู่สารบัญ
บทความพิเศษ
50 เทคนิคทำ SEO ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน ใครรู้ก่อนทำก่อนได้เปรียบอ่านบทความนี้
7.3 User experience
- User experience คือ ความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อเว็บของเรา โจทย์ใหญ่ของการสร้าง UX คือ จะทำยังไงให้คนที่เข้าเว็บของคุณ เกิดความพึงพอใจ เกิดความเชื่อถือในสินค้า และช่วยให้เขาเข้าถึงสิ่งที่เข้าต้องการได้ง่ายๆ
- เพราะหากเราทำเว็บให้ ดูน่าเชื่อถือ โอกาสปิดการขายก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วยนั้นเอง
- ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์ เราจึงต้องใส่ใจ ทำเล่นๆ ไม่ได้
อ่านเพิ่มเติม: การออกแบบเว็บไซต์ที่ดี ในด้าน SEO มีหลักการอย่างไร
7.4 Keyword research
Keyword research คือ การค้นหาคำที่ผู้คนอยากรู้คำตอบ หรือคำที่สะท้อนปัญหาต่าง ๆ หรือความต้องการของคนๆ นั้น แล้วนำไปค้นหาคำตอบบน Google
การหา Keyword แม่นๆ จึงช่วยเก็บกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บของเราเพิ่มขึ้นได้
การเขียนบทความตามใจ โดยไม่สนว่าจะมีคนอยากรู้หรือไม่ เราจะเสียเวลาไปเปล่าๆ และไม่มีผลต่อการติดอันดับใด ๆ เลย
อ่านเพิ่มเติม: สูตรหา Keyword เพื่อทำ SEO
โปรแกรมแนะนำ สำหรับการทำ Keyword research
Kwfinder.com
Ubersuggest
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือใช้งาน Ubersuggest โปรแกรมหา keyword ฟรีที่ดีที่สุดกลับสู่สารบัญ
7.5 Useful Content
- การทำ SEO ปี 2020 ไม่มีทางลัด การเติมบทความที่เป็นประโยชน์เข้าไปเยอะๆ คือ ทางด่วน
- ถ้าคุณสังเกตเว็บใหญ่ๆ แทบทุกเว็บจะต้องมีหมวด Blog ที่เต็มไปด้วยบทความจำนวนมาก
- Google Bot หลงรักเว็บไซต์ ที่มีบทความเยอะๆ เสมอ
- บทความยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือทั้งต่อ User และในสายตา Google
- แน่นอนเมื่อคุณมีบทความมากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของคุณก็จะถูกหาเจอผ่าน Keyword ที่หลากหลาย จำนวนคนเข้าเว็บก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
*แต่การเขียนบทความให้ดี ให้น่าอ่านอย่างเดียวคงยังไม่พอ คุณต้องรู้วิธีเขียนบทความให้ถูกหลัก SEO ด้วย
“มีนักเขียน ที่เขียนงานดีอยู่มากมาย
แต่หากต้องนำสิ่งที่เขียน
มาอยู่บนโลกออนไลน์
มันน่าเสียดาย หากคุณเขียนดี
แต่ไม่มีใครค้นหา งานเขียนของคุณเจอ”
ทำไมเราต้องเขียนบทความ (Blog)
ที่มาของภาพ Infographic: Why Content For SEO?
จาก Infographic ด้านแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเขียน Blog ไว้ดังนี้
- 52% ของผู้บริโภค บอกว่าบทความ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า
- 60% ของเจ้าของกิจการ บอกกว่าบทความ จาก Brand ต่างๆ ช่วยให้เขาพัฒนาสินค้าตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
- 61% ของผู้บริโภคชอบซื้อสินค้าจากธุรกิจที่มีการทำคอนเทนต์ เป็นประโยชน์ เพื่อลูกค้าอยู่เสมอๆ
- 57% ของนักการตลาด ได้ลูกค้าใหม่ๆ จากบทความของพวกเขา
- 42% ของผู้บริโภคมักเข้าไปดูหลายๆ บทความเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจซื้อสินค้า
- 19% ของผู้ซื้อสินค้าเกี่ยวกับความสวยความงาม บอกว่าเขาสนใจสินค้าที่พบเจอ ผ่านบทความที่เขาอ่าน จากการค้นหา
“Try to make a site
that is so fantastic
you become an authority
in your niche.”
Matt Cutts, the former head of search quality at Google
7.6 Social Media
- เขียนบทความเสร็จแล้ว ใครจะมาอ่านบทความของเรา?
- Social Media คือ ช่องทางกระจายคอนเทนต์บนเว็บของเรา ไปให้คนรู้จักเพิ่มมากขึ้น
- นอกจากนี้ Social media ยังเป็น Signal ให้ Google
มา Index ข้อมูลบนเว็บของเราได้เร็วขึ้น - ดังนั้นการแชร์บทความไปยัง Social media ต่างๆ
จะเป็นตัวช่วยเพิ่ม Traffic เข้าสู่เว็บของเรานั้นเอง - การแชร์สิ่งต่างๆ ไปยัง Social media ให้ได้ผล คุณต้องเข้าใจธรรมชาติของ Social media ว่าเขาชอบคอนเทนต์ลักษณะไหนบ้าง และอะไรที่เขาไม่ชอบ
อ่านเพิ่มเติม: วิธีเพิ่มคนเข้าเว็บจาก Social media ด้วยเทคนิค ทำ 3 SEO title ใน 1 บทความ
7.7 Backlinks
Backlink คือ ลิงค์จากเว็บอื่นๆ ที่ชี้กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา เป็นสิ่งที่บอก Google ให้รู้ว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เราได้รับการยอมรับ และมีการทำเป็น reference เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหน้าเว็บของเรา ส่งผลให้เราได้คะแนน SEO จาก Google มากขึ้นไปด้วย
ประเภทของ Backlinks
- Natural-Editorial : เป็น Backlink ที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ซึ่งเกิดจากเนื้อหาในเว็บของเราดีและมีประโยชน์ แล้วจึงมีเว็บไซต์อื่นทำการอ้างอิงเนื้อหา เขียนถึงและทำลิงค์กลับมาให้
- Manual Link Building : คือลิงค์ที่เราสร้างเอง เอาไปปล่อย เอาไปแปะตามที่ต่างๆ
คำแนะนำสำหรับ manual link building คือ ถ้าหากต้องการสร้าง backlink ด้วยการ “ซื้อ” แล้ว ควรทำเป็นลักษณะซื้อบทความ editorial และมีลิงค์กลับมาที่เว็บของเรา ผ่านเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่พวก spam เว็บไซต์ หรือถ้าต้องการสร้าง Backlink เองแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุด ก็อาจจะเริ่มด้วย
Owned asset ก่อน เช่น การทำ Video content บน Youtube ที่มีลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์
การสร้าง Social channels ต่างๆ รวมถึงการสร้างเว็บ Blogs ขึ้นมาเอง เป็นต้น - Non-Editorial : เป็นพวกลิงค์ที่กลับมาจากคอมเม้นท์ในเว็บไซต์ต่างๆ
ที่ให้คนทั่วไปเข้าไปเขียนคอมเม้นท์ได้
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือทำ Backlink ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
Backlink ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่? ในยุคนี้
- Google ลดความสำคัญของ Backlink เพราะจำนวนของ Backlink ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าเนื้อหาบนเว็บมีคุณภาพดีเสมอไป
- Backlink ยังมีความจำเป็น แต่ต้องเป็นลิงค์ที่เราได้รับจากเว็บ ที่มีคุณภาพ และมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ
คอนเทนต์ ของเรา และต้องมีความเป็นธรรมชาติ - หากคุณสร้างบทความที่มีคุณภาพ หน้าเว็บนั้นก็มีโอกาสติดหน้าแรกได้เช่นเดียวกัน เพราะ Google มีหลายร้อยเกณฑ์สำหรับการจัดอันดับเว็บ และเขาจะมองหาเว็บที่มีเนื้อหาที่ดีที่สุดอยู่เสมอ
รูปภาพนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าบทความที่มีคุณภาพ สำคัญกว่า Backlink จำนวนมาก